สืบสานศิลปวัฒนธรรมอัตลักษณ์ท้องถิ่นคงอยู่สืบไป
!!! ร่วมเวลากว่า 30
ปีผ่านมา ของผ้าปาเต๊ะสุไหงโก-ลก ประวัติศาสตร์ ศิลปะบนผืนผ้า!! ผ้าบาติกหรือผ้าปาเต๊ะ
เป็นคำที่เรียกผ้าชนิดที่มีการทำโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสี
และใช้วิธีการแต้ม ระบาย หรือย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสี
ผ้าบาติกบางชิ้นอาจจะผ่านขั้นตอนการปิดเทียน แต้มสี ระบายสี และย้อมสีนับสิบๆครั้ง
ส่วนผ้าบาติกอย่างง่ายอาจทำโดยการเขียนเทียนหรือพิมพ์เทียน
แล้วจึงนำไปย้อมสีที่ต้องการ คำว่า”บาติก” ( Batik) หรือ “ปาเต๊ะ” ( Batek) มาจากคำว่า
Ba = Art และ Tik = จุด
เดิมเป็นคำในภาษาชวา ใช้เรียกผ้าที่มีลวดลายเป็นจุด คำว่า “ติก”
มีความหมายว่า เล็กน้อยหรือจุดเล็กๆมีความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า
ตริติก หรือตาริติก ดังนั้นคำว่า บาติก
จึงมีความหมายว่าเป็นงานศิลปะบนผ้าที่มีลวดลายเป็นจุดด่างๆ วิธีการทำผ้าบาติกในสมัยดั้งเดิมใช้วิธีการเขียนด้วยเทียน
(Wax writing /Wax hand draw) ดังนั้น
ผ้าบาติกจึงเป็นลักษณะผ้าที่มีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดในส่วนที่ไม่ต้อง
การให้ติดสี และใช้วิธีระบาย แต้มและย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสี
แม้ว่าวิธีการทำผ้าบาติกในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตามแต่ลักษณะเฉพาะ
ประการหนึ่งของผ้าบาติก ก็คือ
จะต้องมีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีหรือส่วนที่ไม่
ต้องการให้ติดสีซ้ำอีก แหล่งกำเนิด แหล่งกำเนิดของผ้าบาติกมาจากไหนยังไม่เป็นที่ยุติ
นักวิชาการชาวยุโรป หลายคนเชื่อว่ามีในอินเดียก่อนแล้วจึงแพร่หลายเข้าไปในอินโดนีเซีย
อีกหลายคนเชื่อว่ามาจากอียิปหรือเปอร์เซีย แม้ว่าจะได้มีการค้นพบผ้าบาติกที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศอื่นๆ
ทั้งอียิป อินเดีย และญี่ปุ่น แต่บางคนก็ยังเชื่อว่า
ผ้าบาติกเป็นของดั้งเดิมของอินโดนีเซีย และยืนยันว่าศัพท์เฉพาะที่เรียกวิธีการและขั้นตอนการทำผ้าบาติก
เป็นศัพท์ภาษาอินโดนีเซีย สีที่ใช้ย้อมก็เป็นพืชที่มีในประเทศอินโดนีเซีย
แท่งขี้ผึ้งที่ใช้เขียนลายก็เป็นของอินโดนีเซีย ไม่เคยมีในอินเดียเลย
เทคนิคที่ใช้ในอินโดนีเซียสูงกว่าที่ทำกันในอินเดีย และจากการศึกษาค้นคว้าของ N.J.
Kron นักประวัติศาสตร์ชาวดัทช์
ก็สรุปไว้ว่าการทำโสร่งบาติกหรือโสร่งปาเต๊ะ
เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนติดต่อกับอินเดีย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี
ได้ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือบุหงารำไป หน้า 1ไว้ว่า
แม้ว่าจะมีการค้นพบลักษณะผ้าบาติกในดินแดนอื่นๆ นอกจากอินโดนีเซีย
แต่ก็คงเป็นลักษณะเฉพาะท้องถิ่น วิธีการปลีกย่อยจะแตกต่างกัน
ตามวิธีการทำผ้าของชาติต่างๆ ที่จะให้มีลวดลายสีสันผ้าบาติกของอินโดนีเซียก็น่าจะ
มีกำเนิดในอินโดนีเซียเอง
คงไม่ได้รับการถ่ายทอดจากชาติอื่นๆส่วนการทำผ้าโปร่งบาติกนั้นคงมีกำเนิดจาก
อินโดนีเซีย ค่อนข้างแน่นอน วิวัฒนาการการทำผ้าบาติกในอินโดนีเซีย การทำผ้าบาติกในระยะเวลาแรกคงทำกันเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง
หรือทำเฉพาะในวัง แต่ก็มีผู้ให้ความเห็นขัดแย้งว่า
น่าจะเป็นศิลปะพื้นบ้านใช้กันเป็นสามัญ
ผู้ที่ทำผ้าบาติกมักจะเป็นผู้หญิงและทำหลังจากว่างจากการทำนา ในคริสต์ศวรรษที่ 12
ประชาชนชวาได้ปรับปรุงวิธีการทำผ้าบาติกด้านการแก้ไขวิธีการผสมสี
แต่ทั้งนี้ก็วิวัฒนาการมาจากความรู้ดั้งเดิม ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 การทำผ้าบาติกผูกขาดโดยสุลต่านและถือว่าการทำผ้าบาติกเป็นศิลปะในราชสำนัก
โดยมีสตรีในราชสำนักเป็นผู้ผลิต ผ้าบาติกในยุคนี้เรียกว่า “คราทอน”(
Karton) เป็นผ้าบาติกที่เขียนด้วยมือ( Batik Tulis ) แต่เมื่อผ้าบาติกได้รับความนิยมมากขึ้นและมีลูกค้ามากมาย
การทำผ้าบาติกได้ขยายวงกว้าง
มากขึ้นการผูกขาดโดยครอบครัวสุลต่านก็สิ้นสุดลงศิลปะการทำผ้าบาติก
ได้แพร่หลายไปสู่ประชาชนทั่วไป ผ้าบาติกในระยะแรกมีเพียงสีครามและสีขาว
ในศตวรรษที่ 17 ได้มีการค้นพบสีต่างๆอีก เช่น สีแดง สีน้ำตาล
สีเหลือง สีต่างๆ เหล่านี้ได้มาจากพืชทั้งสิ้น
ต่อมาก็รู้จักผสมสีเหล่านี้ทำให้ออกมาเป็นสีต่างๆ ภายหลังจึงมีการค้นพบสีม่วง
สีเขียว และสีอื่นๆ อีกในระยะปลายศตวรรษที่ 17 ได้มีการสั่งผ้าลินินสีขาวจากต่างประเทศเข้ามา
นับเป็นความก้าวหน้าในการทำผ้าบาติกอีกก้าวหนึ่งโดยเฉพาะเทคนิคการระบายสี ผ้าบาติก
เพราะเริ่มมีการใช้สีเคมีในการย้อมการระบายสี
ซึ่งสามารถทำให้ผลิตผ้าบาติได้จำนวนมากขึ้นและได้พัฒนาระบบธุรกิจผ้าบาติกจน
กลายเป็นสินค้าออกในปี ค.ศ. 1830 ชาวยุโรปได้เลียนแบบผ้าบาติกของชวาและได้ส่งมาจำหน่ายที่เกาะชวาในปี
ค.ศ. 1940 ชาวอังกฤษก็ได้พยายามเลียนแบบให้ดียิ่งขึ้น
เพื่อส่งมาจำหน่ายที่เกาะชวาเช่นเดียวกัน ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ได้มีการทำเครื่องหมายในการพิมพ์ผ้าบาติกโดยทำเป็นแม่พิมพ์โลหะทองแดง
ซึ่งเรียกว่า “จั๊บ”(Cap) ทำให้สามารถผลิตผ้าบาติกได้รวดเร็วขึ้น
ต้นทุนก็ถูกลงทดแทนผ้าบาติกลายเขียนแบบดั้งเดิม
การทำผ้าบาติกด้วยแม่พิมพ์ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์พื้นเมืองในลักษณะของ
อุตสาหกรรมในครัวเรือน ประชาชนก็เริ่มทำผ้าบาติกเป็นอาชีพมากขึ้น
การผลิตผ้าบาติกจากเดิมที่เคยใช้ฝีมือสตรีแต่เพียงฝ่ายเดียว
เริ่มมีผู้ชายเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตโดยเฉพาะการพิมพ์เทียนและการย้อมสี
สำหรับการแต้มสีลวดลายยังใช้ฝีมือสตรี เช่นเดิม ความนิยมในการใช้ผ้าบาติกโดยเกาะชวา
เมื่อก่อนใช้กันเฉพาะสตรีและเด็กเท่านั้น ต่อมาได้ใช้เป็น
เครื่องแต่งกายของหนุ่มสาวมี 3 ชนิด คือ 1.โสร่ง (Sarong) เป็นผ้าที่ใช้นุ่ง โดยการพันรอบตัว
ขนาดของผ้าโสร่งโดยทั่วไปนิยมผ้าหน้ากว้าง 42 นิ้ว ยาว 2
หลาครึ่ง ถึง 3 หลาครึ่ง
ผ้าโสร่งมีลักษณะพิเศษคือ ส่วนที่เรียกว่า ”ปาเต๊ะ” หมายถึง ส่วนที่เรียกว่า หัวผ้า โดยมีลวดลาย
สีสันแปลกต่างไปจากส่วนอื่นๆในผ้าผืนเดียวกัน 2. สลินดัง (Salindang)
เป็นผ้าซึ่งใช้นุ่งทับกางเกงของบุรุษหรือเรียกว่า “ผ้าทับ” เป็นผ้าที่เน้นลวดลายประดับหรือชายผ้าสลินดังมีความยาวประมาณ
3 หลา กว้างประมาณ 8 นิ้ว สตรีนิยมนำผ้าสลินดังคลุมศีรษะ
3. อุเด็ง (Udeng) หรือผ้าคลุมศีรษะ
โดยทั่วไปจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ผ้าชนิดนี้สุภาพบุรุษใช้โพกศีรษะเรียกว่า ”ซุรบาน”สำหรับสตรีจะใช้ทั้งคลุมศีรษะ
และปิดหน้าอกเรียกว่า ”เกิมเบ็น” (Kemben) ผ้าอุเด็งนิยมลวดลายที่เป็นกรอบสี่เหลี่ยม ผ้าคลุมชนิดนี้ไม่ปิดบ่าและไหล่เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ทำงานหนักเพื่อจะได้
เคลื่อนไหวได้สะดวก สำหรับผ้าสลินดัง
ภายหลังได้ทำขนาดให้ยาวขึ้นโดยใช้ผ้าหน้ากว้าง 42 นิ้ว ยาว 4-5
หลา ต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นเครื่องแต่งกายอื่นๆ
ได้มีการใช้ผ้าบาติกนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางทั้งบุรุษ สตรี เด็ก
ที่ได้พยายามปรับปรุงและพัฒนาการทำผ้าบาติกให้มีความก้าวหน้าไปพร้อมๆ
กับการพัฒนาการด้านอื่นๆ จนกลายเป็นสินค้าที่ถูกใจ
ต่างชาติได้จัดจำหน่ายเป็นสินค้าออก
ซึ่งทำให้ผ้าบาติกและเทคนิคการทำผ้าบาติกแพร่หลายออกไปสู่ประเทศอื่นๆ
อย่างกว้างขวาง ในประเทศไทยได้มีการทำผ้าบาติกลายพิมพ์เทียนมาก่อนในปี พ.ศ. 2483
ที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส
โดยสองสามี-ภรรยาชาวไทยเชื้อสายมลายูชื่อ นายแวมะ แวอาลี และ นางแวเย๊าะ แวอาแด
ในยุคแรกได้ผลิตเป็นผ้าคลุมหัวสไบไหล่(Kain lepas)โดยใช้วิธีแกะสลักลวดลายบนมันเทศและมันสำปะหลังมาทำเป็นแม่พิมพ์
ต่อมาได้ผลิตในรูปแบบของผ้าโสร่งปาเต๊ะ(Batik Sarong)โดยใช้แม่พิมพ์โลหะที่ผลิตในรัฐกลันตัน
ประเทศมาเลเซีย สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะในแถบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
ต่อมาภายหลัง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมได้เข้ามามีบทบาทส่งเสริมและเผยแพร่การทำผ้าบาติกพื้นฐาน
ตามแนวเทคนิคของกรมส่งเสริมฯ ซึ่งส่วนใหญ่มักนิยมใช้โซดาแอสเป็นสารกันสีตก
ทางภาคเหนือของไทยได้มีการทำผ้าบาติกมานาน
จะรู้จักในนามผ้าบาติกใยกัญชาย้อมด้วยสีอินดิโก้
เพียงสีเดียวโดยฝีมือของชาวเขาเผ่าม้งในภาคเหนือ ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะได้รับอิทธิพลศิลปะบาติกจากประเทศจีนตอนใต้
ปลายปี พ.ศ. 2523 ประเทศไทยได้กำเนิด “ผ้าบาติกลายเขียนระบายสี”
(Painting Batik)ซึ่ง เป็นผ้าติกที่เขียนลายเทียนด้วยจันติ้ง (Cantimg)
ระบายสีลวดลายบนผืนผ้าทั้งผืนด้วยพู่กัน ไม่มีการย้อมสีโดยใช้สี REACTIVE
DYES จากประเทศมาเลเซีย
ผลิตในเยอรมันแล้วเคลือบกันสีตกด้วยโซเดียมซิลิเกตเป็นสารกันสีตกแบบถาวร โดย
นายเอกสรรค์ อังคารวัลย์
เป็นคนแรกที่ได้นำวิธิการทำผ้าบาติกแบบระบายมาเผยแพร่วิธีการทำผ้าบาติกแนว ใหม่นี้
โดยศึกษามาจากประเทศมาเลเซีย และได้แพร่เป็นวิทยาธารเพื่อการศึกาครั้งแรกแก่คณาจารย์ภาควิชาศิลปะ
คณะวิชามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูยะลา(ผศ.นันทา โรจนอุดมศาสตร์
เป็นหัวหน้าภาควิชาในขณะนั้น) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ได้มีการสอนการทำผ้าบาติกแก่นักศึกษาวิทยาลัยครูยะลาในเรื่องบาติกลายเขียนและบาติกย้อมสี
พ.ศ. 2524 วิทยาลัยครูยะลาได้เริ่มทดลองทำผ้าบาติกลายเขียนระบายสี
และสอนการทำผ้าบาติกเป็นกิจกรรมในรายวิชาเลือกของหลักสูตร ปกส.สูง วิชาเอกศิลปกรรม
พ.ศ. 2525 สอนการทำผ้าบาติกในรายวิชาศิลปะพื้นบ้าน
ในระดับปริญญาตรีศิลปศึกษา และได้ทำการสอนต่อมาในรายวิชาบาติก วิชาเอกออกแบบประยุกต์ศิลป์
ระดับอนุปริญญาจนถึงปัจจุบัน
วิทยาลัยครูยะลาได้ทำการเผยแพร่ความรู้ทางด้านบาติแก่ชุมชน
โดยเขียนเป็นบทความลงหนังสือพิมพ์ วารสาร และทางสถานีโทรทัศน์ นอกจากนี้
ยังมีการจัดอบรมและจัดนิทรรศการเผยแพร่ การทำผ้าบาติกทั้งลายเขียนและลายพิมพ์ ตามช่วงระยะเวลาดังนี้
กันยายน พ.ศ. 2527 ร่วมแสดงนิศการผ้าบาติก และสาธิตในงาน “กระจูด” ณ จังหวัดนราธิวาส
จัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
เป็นการแสดงเทคนิคการทำบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก เมษายน
พ.ศ. 2528 ร่วมจัดนิทรรศการและสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสีและบาติกลาย
พิมพ์ ในงานศิลปวัฒธรรมพื้นบ้านทั่วประเทศ ณ
จังหวัดภูเก็ต(เป็นช่วงเวลาที่บาติกลายเขียนเทียนเริ่มเข้าจังหวัดภูเก็ต
เป็นครั้งแรก โดยมี อ.ชูชาต ระวิจันทร์(ลุงชู)
อาจารย์หัวหน้าคณะภาควิชาเอกศิลปกรรม วิทยาลัยครูภูเก็ตขณะนั้นเป็นผู้สืบสานต่อในจังหวัดแถบทะเลอันดามัน
พฤษภาคม พ.ศ. 2529 ร่วมจัดนิทรรศการ
และสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ในงานมหกรรม ศิลปวัฒนธรรมทั่วประเทศ ณ
วิทยาลัยครูเชียงใหม่ พ.ศ. 2531 ร่วมจัดนิทรรศการ
และสาธิตการทำผ้าบาติกลายเขียนเทียนระบายสี ณ สวนอัมพร กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ยังได้เดินทางไปจัดนิทรรศการ
และสาธิตในกรุงมหานครอีกหลายครั้ง
อันมีผลทำให้บาติกลายเขียนเทียนระบายสีเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว
และเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันผ้าปาเต๊ะสุไหงโก-ลก
ผลิตภัณฑ์ของเราทำขึ้นในนามชุมชนท้องถิ่น
เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้คนในท้องที่ได้พัฒนาความเจริญให้กับถิ่นฐานบ้านเกิด
เราใช้คำว่าทีมเพราะความรักสามัคคีกลมเกลียวกันชุมชน (ชุมชนบาโงเปาะเล็ง
อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส) ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการการันตีจากหน่วยงาน OTOP และอุตสาหกรรมจังหวัด
อีกทั้งเรายังมุ่งหน้าพัฒนางานฝีมือแรงงาน แรงคนต่อไป อนุรักษ์ศาสตร์และศิลป์ให้คงอยู่สืบไป
ทีมผ้าปาเต๊ะของเราปัจจุบันบริหารงานโดย คุณเจ๊ะอาแซ บินเจ๊ะอาหลี
และลูกสาวคุณเจ๊ะอัสรีนา บินเจ๊ะอาหลี
สนใจติดต่อ
Facebook
Page : ผ้าปาเต๊ะ-สุไหงโกลก Tell. 081-598-6409/ 080-703-4950 เราคือผู้ผลิต
ID
Line.0807034950
ID
Page 907108012742250
Instagram
: handmade_thailand
Google
Map : https://goo.gl/maps/4mESZb1N8SR2
Google
Map : วิสาหกิจชุมชนผ้าปาเต๊ะบาโงเปาะเล็ง
Youtube
: https://www.youtube.com/channel/UC7kCnY8dPrVbleohxdyriqg?view_as=subscriber
Youtube:
https://www.youtube.com/channel/UC7kCnY8dPrVbleohxdyriqg
Twitter
: https://twitter.com/BatikThailand
Google+
: https://plus.google.com/u/0/collection/EAV1bB
Blogger
: https://handmade-thailand.blogspot.com/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น